ธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายบัตรต่าง ๆ พร้อมทั้งผู้ให้บริการทางการเงินในไทย จัดงานแถลงข่าวการนำ QR Code ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน (Standard QR CODE ) มาใช้ในการชำระเงินในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยลดความซ้ำซ้อนการมี QR Code หลากหลายรูปแบบ และช่วยส่งเสริมการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ E-Payment ในมิติต่าง ๆ โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มใช้ได้ทั่วไปภายในไตรมาส 4 ปี 2560 นี้

ซึ่งการใช้ QR Code เพื่อการชำระเงินมีหลักการและประโยชน์ใน 4 ด้าน ประกอบด้วย

1. การใช้มาตรฐาน QR Code กลางที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
2. การเพิ่มช่องทางการชำระเงินที่สะดวกและมีต้นทุนต่ำ
3. การเพิ่มความปลอดภัยในการชำระเงิน ซึ่งผู้ใช้บริการไม่จำเป็นต้องให้บัตรหรือข้อมูลบนบัตรแก่ร้านค้า
4. สามารถต่อยอดนวัตกรรมทางการเงินได้โดยง่าย เช่น สถาบันการเงินในหลายประเทศได้เริ่มให้สินเชื่อแก่ SMEs โดยใช้ข้อมูลชำระเงินเป็นข้อมูลอ้างอิง เป็นต้น

งานนี้นับเป็นความร่วมมือครั้งแรกของผู้ให้บริการเครือข่ายบัตรระดับโลกทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ American Express, JCB International (Thailand), Mastercard, UnionPay International และ VISA และผู้ให้บริการทางการเงินในไทย ประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย สภาสถาบันการเงินของรัฐ สมาคมธนาคารนานาชาติ สมาคมการค้าผู้ให้บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ไทย สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ บริษัท National ITMX จำกัด และบริษัท Thai Payment Network จำกัด เพื่อร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ดี เป็นประโยชน์กับทั้งประชาชนและร้านค้าด้วย

หลายท่านคงรู้จัก QR CODE ( Quick Response Code ) ที่เป็นสัญลักษณ์สี่เหลี่ยมๆแบบนี้ คือรหัสชนิดนึงที่พัฒนาจาก Barcode แต่ใช้งานง่ายกว่า และเก็บข้อมูลได้มากกว่า ซึ่งเราสามารถอ่านข้อมูล QR CODE ได้ผ่านการสแกน QR CODE บนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตได้

ตอนนี้ QR CODE ได้รับการพัฒนาให้สามารถใช้จ่ายสินค้าและบริการตามร้านค้าได้แล้ว โดยใน QR CODE จะมีข้อมูลจำเป็นสำหรับการจ่ายเงินซื้อสินค้าต่างๆ ควบคู่กับแอปมือถือที่เชื่อมต่อกับบัตรเครดิต บัตรเดบิต บัญชีธนาคาร หรือ e-Wallet ของเรา สามารถจ่ายตามร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก ร้านค้าริมถนน รวมถึงร้านค้าออนไลน์ แต่ยังไม่ใช่ทุกร้านดังนั้นต้องสังเกตว่าร้านค้านั้นมีป้ายที่บอกว่าเปิดรับชำระด้วย QR CODE หรือเปล่า?

ลูกค้าจ่ายเงินผ่าน QR CODE ดีอย่างไร

• สะดวก ใช้งานง่าย ไม่ต้องพกเงินสดหรือพกบัตรให้ยุ่งยาก
• ปลอดภัย โดยไม่ต้องใช้บัตรสักใบ หรือไม่ต้องให้ข้อมูลบัญชีธนาคาร ซึ่งลดความเสี่ยงการโดนขโมยข้อมูล
• มั่นใจ ระบบการชำระเงินเป็นบริการของธนาคาร และผู้ให้บริการชำระเงินในปัจจุบันซึ่งมีความน่าเชื่อถือ และระบบ QR CODE ของไทยเป็นไปตามมาตรฐานสากล

วิธีการจ่ายเงินก็ง่ายมากๆ

1. ให้เปิดแอปธนาคาร ที่คุณใช้บริการธนาคารนั้นอยู่ จากนั้นเลือกประเภทการชำระเงิน เช่น บัตรเครดิต / บัตรเดบิต / โอนเงินจากบัญชี หรือ e-wallet จากแอปในมือถือ
2. จากนั้นเปิดหน้าสแกน QR CODE ภายในแอปธนาคารที่คุณใช้ แล้วทำการสแกน QR CODE ของร้านค้า ผ่านทางป้ายหน้าร้าน หรือป้ายคล้องคอของผู้ขาย
3. ใส่จำนวนเงินที่ต้องการชำระ แล้วกดยืนยันการชำระเงิน
4. ระบบบนแอปมือถือก็จะส่งข้อมูลยืนยันการชำระเงินผ่านทางหน้าจอแอป และ SMS
ทั้งนี้ การกำหนดวงเงินในการโอนเงินจากบัญชีของเราเพื่อซื้อสินค้าและบริการ จะขึ้นอยู่กับลูกค้าที่ใช้บริการของธนาคารหรือแอป e-wallet รายไหนอยู่ ในลักษณะเดียวกับ ATM ที่เรากำหนดให้ถอนเงินไม่เกิน 20000 บาทต่อวัน ส่วนค่าธรรมเนียมจะขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละราย

Standard QR CODE ในไทย นั้นมีหน่วยงาน EMVCo ซึ่งเป็นองค์กรต่างประเทศที่ดูแลและสนับสนุนการเชื่อมต่อเครือข่ายการชำระเงินระหว่างประเทศ ได้ประกาศใช้มาตรฐานสากล QR CODE สำหรับการจ่ายเงินที่ผูกบัตรเครดิตและบัตรเดบิตแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา โดยไทยได้ใช้มาตรฐานสากลของ EMV QR Code ซึ่งผู้ให้บริการของไทยร่วมกันพัฒนา เพื่อเป็นทางเลือกการชำระเงินให้กับประชาชน ทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต บัญชี E-Wallet และบัญชีเงินฝาก รวมทั้งในอนาคตที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะสามารถชำระเงินผ่าน QR CODE ได้ด้วย

ข้อควรระวังในการใช้ QR CODE ในการชำระสินค้า

1. ให้ตรวจสอบข้อมูลร้านค้าให้ถูกต้องก่อนการยืนยันการจ่ายเงินทุกครั้ง เช่น ผู้รับเงิน และจำนวนเงิน
2. การตั้งรหัสผ่าน USERNAME และ PASSWORD ของแอปธนาคารหรือแอป E-Wallet ให้คาดเดารหัสยากแต่เราจำได้ง่าย และอย่าบอกรหัสให้คนอื่นเป็นอันขาด
หลังจากที่เราได้รู้จักกับ Standard QR CODE และ วิธีการใช้ QR CODE ในการชำระเงินแล้ว ก็เหลือแค่คุณต้องมาลองกันเองว่าสะดวก ดีแค่ไหน ซึ่งหากได้ใช้แล้วก็ช่วยให้ลดปัญหาในเรื่องการควักเงินจากกระเป๋า หรือลดการกด ATM ถอนเงินสดเพื่อชำระเงินได้เยอะเลย
ข้อมูลจาก facebook ธนาคารแห่งประเทศไทย (1) , (2)

วันที่: 4 กันยายน 2560
ที่มา: IT24hrs